วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สัมผัสความสำเร็จ



   ในชีวิตของทุกๆคน “ความสำเร็จ” ใครๆก็อยากได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง ครอบครัว การงาน การได้รับความสำเร็จจากของรางวัล แม้จะดูไม่มากมายด้วยราคา แต่คุณค่าที่เกิดขึ้นในจิตใจ ยิ่งใหญ่กว่ามูลค่าที่ประมาณด้วยความรู้สึกของผู้พบเห็น หากความสำเร็จที่ได้รับเริ่มเกิดจากครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง และครั้งต่อๆไป จะทำให้ทุกคนได้เรียนรู้ และต้องการเสพติดความสำเร็จนั้นจนเคยชิน นั่นคือสิ่งที่ทุกคนจะมีโอกาสในการก้าวไปข้างหน้า และเติบโตได้อย่างดีต่อไป


ถ้าจะผ่านช่วงชีวิตของการทำงานในช่วงแรก สำหรับการกลับเข้ามาสู่อาชีพตัวแทนขายประกันชีวิตไปซะเลยก็คงดูแปลกๆ ว่าผมคิดอย่างไร? ทำอย่างไร? มีความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน? คงต้องใช้เวลาอธิบายกันพอสมควรอย่างนี้ว่า เมื่อผมได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่า "ข้าพเจ้าหากรับราชการต่อไป โอกาสแห่งความก้าวหน้าก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นง่ายๆ ด้วยเป็นคนที่แข็งกระด้าง ดื้อรั้นไม่ยอมคน ไม่ยอมลู่ลมไปตามสถานการณ์ ดังที่เคยปรากฎมาหลายๆครั้ง ไม่รู้จักการเอาอกเอาใจในเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในโอกาสนั้น โอกาสนี้ ฯลฯ" แล้วถ้าหันมาทำงานด้านการขายล่ะ ผมจะทำได้หรือ งานนี้ยิ่งต้องยอมอดทน ต้องยอมอ่อนน้อม ต้องยอมรับฟัง ต้องพร้อมเอาใจใส่ ต้องพร้อมที่จะตามใจคนอื่นๆ ดังวลีเด็ดที่ใครๆก็พูดกันว่า "The customer is the King" โอ้โห! นี่เป็นอะไรที่ไม่ใช่เรา เราจะทำได้หรือไม่? ก็พยายามคิดทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า พอสรุปเข้าข้างตนเองขึ้นมาว่า ในเมื่อใครๆ ก็พากันทำงานนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นนาย ก. นาย ข. นาย ค. หรือรวมไปถึงนาย ฮ.นกฮูก เมื่อคนเหล่านั้นทำได้  ทำไม...นายพิชิต พิศนุภูมิ จะทำไม่ได้ ถ้าคิดจะทำ และทำไมต้องทำงานนี้ ทำไปทำไม ....ครับ คำตอบก็เกิดขึ้นว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสิบกว่าปี ผมมีโอกาสรับราชการมาอย่างยาวนานแล้วใช่หรือไม่ เริ่มไต่เต้าเงินเดือนตั้งแต่เป็นนักเรียนจ่า ปี 2520 รับเงินเดือนละ 220 บาท จนกระทั่งติดยศเมื่อ 16 เมษายน 2522 ได้รับเงินเดือนๆแรก 1,280 บาท จากการตรวจสอบคำสั่งการปรับเงินเดือนตั้งแต่วันแรก บวกช่วงเวลาทำงานมาทั้งหมด 15 ปีเต็มหรือ 180 เดือน มีรายได้ทั้งหมด 463,325 บาท ถามว่ารู้สึกอย่างไร ขอบอกครับว่า "ผมมีความภาคภูมิใจสำหรับการได้เกิดมาเป็นทหารเรือไทย มีโอกาสรับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันสูงสุดของพวกเราชาวไทยทั้งประเทศ ผมชื่นชมและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งต่อการได้มีส่วนร่วมในการปกป้องอธิปไตยของชาติในช่วงวันเวลาที่ผ่านมา

     ด้วยเหตุที่ว่าผมเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว ลูกของผมทั้งสามคนเป็นดวงใจของผม เป็นหัวใจของผม ที่ผมได้ทำให้พวกเขาได้เกิดมาบนโลกใบนี้ และพวกเขาจะต้องดำรงชีวิตอยู่ได้ ทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า อย่างมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี ปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้คน คือรายได้เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เมื่อตอนผมรับราชการทหาร ผมเคยเช่าบ้านรวมกับเพื่อนๆ แถวบางกอกใหญ่ เห็นเพื่อนบ้านบางคนที่ติดขัดด้านการเงิน เดินมาหยิบยืมเงินจากเพื่อนบ้านใกล้ๆกัน ครั้งละ 20 บาทบ้าง 50 บาทบ้างเพื่อนำเงินไปให้ลูกๆเป็นค่าขนมไปกินโรงเรียน หรือไปซื้อกับข้าวเพื่อนำมาเป็นอาหารทานในบางครั้ง แน่นอนละครับ ผู้ที่ให้ยืมก็ไม่พอใจ เพราะเงินที่เคยให้ยืมไปแต่ละครั้ง ไม่เคยได้รับกลับมาบ้างเลย แต่ผู้ที่มาขอยืมก็ไม่มีที่จะไปหยิบยืมจากที่ใด ภาพที่เห็นขณะนั้น เหตุการณ์ที่สัมผัส ทำให้เกิดความรู้สึกสะท้อนเข้าไปในจิตใจของตนเอง และเกิดคำถามขึ้นมากับตัวเราว่า วันข้างหน้าลูกของผมต้องเติบโตขึ้นทุกๆวัน ลูกของผมต้องเข้าเรียนหนังสือ พวกเขาต้องใช้เงินจำนวนมากมาย แล้วผมจะหาเงินที่ไหนให้พวกเขาได้เล่าเรียน เรียนที่โรงเรียนแบบไหน มหาวิทยาลัยเปิดอย่างนั้นหรือ หรือเรียนทางไปรษณีย์แล้วก็ให้ทำงานไปด้วย หรือไม่ให้โอกาสพวกเขาได้เรียน แต่คำถามต่อมา...พวกเขาเมื่อโตแล้วก็ต้องทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงดูตนเองไม่ใช่หรือ 



       ตลอดช่วงชีวิตที่ผมรับราชการ เห็นรุ่นพี่ หรือรุ่นพ่อหลายๆคน ตลอดช่วงเวลาที่พวกเขากำลังรับราชการ มีคนจำนวนมากที่ได้สิทธิ์อยู่บ้านหลวง อยู่กันไปจนเกษียณอายุราชการ แล้วเมื่อถึงวันหนึ่ง วันที่พวกเขาต้องอำลาจากราชนาวีไทย พวกเขาก็ต้องคืนบ้านให้กับทางราชการ เพื่อให้สิทธิ์กับคนรุ่นต่อๆไปได้พักพิงเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้กับทางราชการต่อ ผู้ที่เกษียณอายุราชการบางคนไม่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าในการที่จะมีบ้านพักเป็นของตนเอง ต้องหาบ้านเช่าเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในด้านที่พักไปก่อน  ส่วนเงินเดือนที่ได้รับมาโดยตลอดนั้น แม้จะมีจำนวนเงินที่สูงพอกับการดำรงชีพ แต่การที่สังคมมีการแข่งขันกันในเรื่องของการปรุงแต่งด้านทรัพย์สิน บ้านโน้นมีทีวีสี 24 นิ้ว บ้านนั้นมีทีวี 32 นิ้ว บ้านเราก็อยากได้ แต่...ไม่มีเงินซื้อ ทำไงดีล่ะ...เงินผ่อนซิครับ ตานี้ละ...อะไรๆในบ้านก็ผ่อนไปหมด เงินเดือนที่ออกมาแต่ละเดือนหลังจากหักลบสินค้าที่ผ่อน บวกกับหนี้สินนอกระบบที่ต้องส่งดอกเบี้ยรายงวดแล้ว เหลือใช้ไม่กี่บาท บางทีซ้ำร้ายกว่านั้น ลูกแก้วเมียขวัญที่น่ารักก็เกิดความอยากได้นั่น อยากได้โน่น อยากได้นี่ พากันมาประจบเอาใจคุณพ่อที่แสนดีว่า พ่อจ๋า ลาออกแล้วรับเงินบำเหน็จนะพ่อ พวกเราอยากได้รถยนต์สักคัน อยากได้บ้านใหม่สักหลัง พวกเราจะเอาเงินบำเหน็จพ่อไปดาว์นรถ แล้วมาช่วยกันผ่อน ....คุณพ่อก็จะเกิดอาการลังเลต่อการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ เพราะนั่นหมายถึงรายได้รายเดือนกำลังจะหมดไป หากทำการรับบำเหน็จแทนบำนาญ ...หากครอบครัวไม่มีรายได้ทางอื่นๆมาจุนเจือ ตนเองจะเอาเงินที่ไหนมาใช้บ้าง...อย่างไรก็ตามความรักของพ่อแม่ที่แสนยิ่งใหญ่ก็ต้องตามใจมติส่วนใหญ่ของที่ประชุมในครอบครัว จัดการทำเรื่องขอรับบำเหน็จ แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้จริงๆ.....แต่....เฉพาะช่วงแรก เพราะเมื่อทุกคนได้ทุกอย่างตามที่หวังแล้ว เริ่มหลงระเริงกับความต้องการของตน บางครั้งเพลิดเพลินกับการเที่ยวเตร่ สรวลเสเฮฮาตามประสา แล้วก็คิดว่าการหารายได้เข้าบ้าน ยังมีเวลาให้คิด ยังมีเวลาให้ทำ เดี๋ยวน่าพ่อ พวกหนูกำลังสนุก ขอเวลาอีกแป๊บ....ฯลฯ พี่น้องครับ...สินค้าใดๆเมื่อทำสัญญาเรียบร้อย ระบบการผ่อนทุกรายการจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด ทุกสิ้นเดือนใบเตือนครั้งที่ 1 จะถูกส่งมาตามปกติ หากยังไม่มีการชำระเงินเข้าไป ใบเตือนครั้งที่ 2 จะเร่งเร้าให้ชำระหนี้ และติดตามด้วยคนทวงหนี้จะมาถึงบ้านเป็นลำดับถัดๆไป พวกเขามีสิทธิ์ยึดสินค้ากลับคืนได้
....คุณพ่อ หรือคุณแม่ก็ตามที่เกษียณอายุราชการ มีความตั้งใจที่จะได้พักผ่อนอยู่กับลูกหลาน ต้องกัดฟันลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ทำงานใหม่ เพื่อหารายได้ให้กับครอบครัว เป็นเพราะความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกๆ อันเป็นที่รักยิ่ง ..... ภาพเหล่านี้เป็นเพียงภาพประกอบเล็กน้อยในสังคมบ้านเรา บางคราวอาจมีภาพสะท้อนที่เกิดขึ้นจริงๆ สร้างความรู้สึกสะเทือนใจมากกว่านี้ หรือบางครอบครัวที่โชคดี มีความรอบคอบในการวางแผนการใช้ชีวิต ก็จะมีความสุขที่พร้อมสรรพ ด้วยการเตรียมรับกับสถานการณ์ในวันข้างหน้าของหัวหน้าครอบครัวที่ชาญฉลาด
ส่วนตัวผมเองนั้น การทำงานแบบเดิมไม่สามารถตอบโจทย์ในอนาคตได้ แต่การทำงานที่ใหม่ ในอาชีพใหม่ที่ตนเองไม่ถนัด และเคยล้มเหลวมาแล้ว แต่ยังไม่ยอมล้มเลิกความคิดที่จะทำ ผมจะทำได้หรือ ผมจะทำให้สำเร็จได้จริงหรือไม่ ผมคงไม่สามารถทำนายอนาคตได้ แต่เป็นเพราะความรู้ที่ได้อ่านจากหนังสือหลายๆเล่ม เริ่มตกผลึกทางด้านความคิดว่า งานขายเป็นงานแห่งโอกาส งานขายเป็นทางลัดของการสร้างชีวิตใหม่ งานขายสร้างรายได้มากกว่าอาชีพอื่นๆ โดยเฉพาะงานขายที่ทำได้ยากมากๆ แต่สร้างความมั่งคั่งให้กับผู้คนได้มากมาย (ถ้าทำได้) คืองานขายประกันชีวิต และถ้าจะให้รวยจริงๆ ต้องเข้ามาทำงานที่นี่ เอไอเอ ....เอาละครับ...ก่อนที่ทหารจะออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการชายแดน พวกเราที่เป็นทหารเรือยังต้องผ่านการฝึกอย่างหนัก พวกเราจดจำครูฝึกของพวกเราได้ทุกคน ลีลาการสอน ท่วงท่าแห่งการถ่ายทอด เคล็ดลับต่างๆในการใช้ชีวิตที่อยู่ในสนามรบ ถูกถ่ายทอดและตอกย้ำให้พวกเรารู้ว่า จงอย่าล้อเล่นกับชีวิต เพราะถ้าคุณพลาดเพียงนิดเดียว มันหมายถึงความตาย ... ความตายนั้นไม่น่าพิสมัย แต่ทุกคนต้องเจอ แต่นักรบที่เก่งจริงๆไม่ควรตายง่ายๆ จำไว้....
เมื่อตัดสินใจที่จะเริ่มชีวิตใหม่ในการทำงานที่นี่ โดยครูที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดกระบวนยุทธต่างๆ เป็นบุคคลที่เพียรซ้ำย้ำเตือนกับพวกเราให้จัดเวลามาหาความรู้ที่นี่บ้าง เพื่อจะได้ก้าวไปข้างหน้า คว้าความสำเร็จ...ถามว่าตัวผมเชื่อหรือไม่ ไม่หรอกครับ ถ้าเชื่อง่ายๆ ก็ไม่ใช่พิชิตนะซิ จริงป่ะ แต่การกลับมาครั้งนี้อีกครั้งเป็นการตัดสินใจที่จะมาเพื่อสร้างความสำเร็จและความยิ่งใหญ่ จึงต้องมาพร้อมกับความเชื่ออย่างหมดหัวจิตหัวใจ เจ้านายสั่งอะไรมา ผมพร้อมที่จะทำ และเมื่อผมทำ จะทำอย่างตั้งใจ ด้วยระเบียบวินัยของชายชาติทหาร "ผมพร้อมรบแล้วครับท่าน โปรดบัญชาการ และผมพร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า 1...2...3....ผมจะก้าวเดินต่อไปไม่หยุดยั้ง จนกว่าพลังในชีวิตของผมจะหมดไป" 

อันที่จริง ฉันเป็นใคร อย่าไปสน
แต่เป็นคน เดินทางมา เพื่อคว้าฝัน
ก้าวเข้าสู่ ธุรกิจ การประกัน
ความเชื่อมั่น เต็มที่ ว่ามีชัย
เมื่อวันวาน ผ่านไป ไม่หวนกลับ
ได้ซึมซับ ประสบการณ์ ดั่งขานไข
วันพรุ่งนี้ ฉันยังสู้ อยู่ด้วยใจ
ที่มั่นหมาย ชัยชนะ ไม่ละวาง
ต้องขอบอก กล่าวเพื่อน เตือนสติ
ว่าดูซิ งานนี้ มีความหวัง
จงทำจริง เดินหน้า อย่าพะวัง
ทุ่มพลัง เต็มที่ ย่อมมีชัย
การกลับเข้ามาทำหน้าที่ตัวแทนขายประกันชีวิตในครั้งที่สองอย่างเป็นทางการ หลังจากผ่านช่วงระยะเวลาแห่งการเรียนรู้จากหนังสือต่างๆ ที่ได้มีโอกาสค้นคว้า เก็บข้อมูลหลายๆทางเพื่อการตัดสินใจ จำได้ว่าในหนังสือการเดินตลาดที่ได้ผล 100% ของแฟรงค์ เบตเยอร์ คุณพ่อท่านได้บันทึกต่อท้ายไว้ส่วนหนึ่ง (เป็นความตั้งใจของผมที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้โดยไม่อ่านบันทึกของคุณพ่อจนกว่าจะอ่านจนจบ และเกิดแนวคิดเช่นไร ก็จะบันทึกไว้ จึงขอนำส่วนหนึ่งของบันทึกนั้นมาฝากดังนี้)


คำบันทึกของคุณพ่อเสนาะ พิศนุภูมิ จากหนังสือการเดินตลาดที่ได้ผล 100% ของแฟรงค์ เบตเยอร์ ปี 2497 เป็นเครื่องเตือนใจให้รู้ว่า งานนี้อุปสรรคมีอยู่มากมาย หากคิดจะก้าวเดิน ต้องมีความอดทนอย่างหนักแน่น
ใครจะไปรู้ว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น อีก 30 กว่าปีต่อมา คนๆหนึ่งที่มีอาชีพรับราชการทหารเรือ ทำงานตามความฝันแรกคือการเข้ามาเป็นทหารได้ตามความตั้งใจ สำหรับงานขายประกันชีวิต ไม่เคยมีอยู่ในสมอง แต่มีความรู้สึกลึกๆที่ติดอยู่ในใจตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แต่จำได้ว่าไม่ชอบ ไม่รักไม่หลงไหล และไม่เคยใฝ่ฝัน เมื่อมาลองทำดู ก็พบกับความล้มเหลว เมื่อได้อ่านหนังสือแนวทางการเดินตลาดที่ได้ผลจากคุณแฟรงค์ เบตเยอร์ ทำให้เริ่มรู้สึกตนเองได้ว่า มีข้อผิดพลาดที่เคยทำไปแล้วตั้งมากมาย ควรที่จะต้องทำการแก้ไขตนเองและต้องปรับปรุงอย่างหนัก



                                         บันทึกครั้งสุดท้ายของคุณพ่อ

  
                                บันทึกครั้งที่ 1 ของข้าพเจ้า ต้นปี 2532 
หลังจากลองวิชาไปได้สักพัก ลองทำเท่าที่รู้ หวังว่าจะเริ่มรู้วิธีทำ แต่ก็เดินทางต่อไปไม่ได้ไกลมากนัก เมื่อกลับมาย้ำคิด ย้ำอ่าน ทบทวนเรื่องราวต่างๆ เริ่มมองเห็นภาพความถูกผิดชัดเจนขึ้น จากการทบทวนเกี่ยวกับวิถีชีวิตในวันข้างหน้า ก็เริ่มมองเห็นภาพใหม่ที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ
      บันทึกครั้งที่ 2 นี้เริ่มมีผลต่อชีวิตในอนาคตของข้าพเจ้า
การตัดสินใจในครั้งที่สอง คือการเข้ามาสอบความรู้การประกันชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ทำให้มีรหัสตัวแทนในวันที่ 31 มกราคม 2534 เป็นตัวแทน Part time เข้ามาเรียนรู้การทำงานภาคสนามกับคุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ เป็นครั้งคราว ซึ่งตลอดช่วง 1 ปีของการทำงานสร้างผลงานได้ 25 ราย ค่านายหน้า 68,265 บาทเป็นการทำงานแบบผสมผสานระหว่างการรับราชการทหารเรือ และใช้ช่วงเวลาว่างจากงานราชการ เข้าพบผู้มุ่งหวัง เพื่อขายประกัน ในเวลาต่อมา ได้ตัดสินใจด้วยตนเองว่าคงถึงเวลาแล้ว ที่ต้องลาออกจากราชการ เพื่อมากำหนดชะตาชีวิตในวันข้างหน้าด้วยตนเอง



ตามที่เกริ่นไว้ตั้งแต่แรกว่า ความรู้ที่ได้ จากการอ่านหนังสือ กับผู้คนที่ท่านคบหา และมีการพูดคุยด้วย จะทำให้ชีวิตของคนเรามีการเปลี่ยนแปลง ภายในระยะเวลา 5 ปี ดังนั้นเมื่อผมตัดสินใจที่จะทำงานเป็นตัวแทนขายประกันชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงปีแรกผมทำงานแบบพาร์ทไทม์ โอกาสของการเรียนรู้มีบ้างเป็นส่วนน้อย หาโอกาสเข้าประชุมที่สโมสรบ่ายวันเสาร์ของเครือชุมทอง 24 บ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น การตัดสินใจเข้าร่วมสัมนากับเครือชุมทอง 24 U ที่มีชื่อรุ่นนี้ว่า “รุ่นล้างป่าช้า” ในปลายปี 2534 ทำให้ผมได้พบกับเพื่อนใหม่ในอาชีพเดียวกันที่เข้ามาร่วมการสัมนา ผมต้องทำเรื่องขออนุญาตลาพักร้อนเพื่อเตรียมตัวเข้ามาเรียนรู้ในครั้งนี้ แต่จังหวะชีวิตไม่เข้าข้าง ผมทำเรื่องขอลาพักร้อนในสัปดาห์ถัดไปเพื่อเข้าสัมนาต่อเนื่อง ที่เครือชุมทอง 24ยูจัดขึ้นจากวันหยุดเสาร์อาทิตย์ และเรียนรู้ต่อเนื่องในวันทำงาน แต่ผลของการลายังไม่ได้รับการอนุญาตในทันที เพราะหน่วยเรือที่ผมทำงานอยู่นั้น มีภารกิจที่ต้องปฏิบัติราชการด่วนในเรื่องใหม่ เป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังเรียนรู้วิชาการตลอดทั้งวัน และเมื่อเดินทางกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในเช้ามืดของวันใหม่ จึงเกิดข้อผิดพลาดในการออกไปทำงานในเช้าวันนั้น ใช่แล้วครับ เขาเรียกกันว่า”ตกเรือ” ลองคิดดูซิครับว่าการสัมนาของเครือยูที่จัดขึ้น เริ่มเรียนตั้งแต่ 08.30-22.00 น.โดยมีช่วงเวลาที่พักเบรกตามเวลาปกติ ทานอาหารตามเวลา เล่นกีฬาทางน้ำที่สระว่ายน้ำของโรงแรมตอนช่วงเย็น ภายหลังอาหารเย็นแล้วเรียนต่อกันถึงสี่ทุ่ม แถมด้วยการบ้านให้ไปทำต่อ แบบว่าจัดหนักเต็มที่ในแต่ละวัน การพักผ่อนมีเวลาจำกัด สำหรับผมเป็นทหารเรือที่ยังมีหน้าที่ที่ต้องทำตามคำสั่ง ดังนั้นทั้งงานหลวงและงานราษฎร์ ไม่มีใครอยากให้ผิดพลาดสักอย่างหรอกครับ แต่เส้นทางจากพัทยา มากองเรือยุทธการ ที่อำเภอสัตหีบ แม้จะไม่ไกลมากนัก เมื่อขับรถมาถึงและกำลังจอดรถยนต์ เรือก็ออกจากท่าไปพอดี มองเห็นเรือวิ่งออกจากท่าไปข้างหน้า แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ โชคดีเหลือเกินที่เพื่อนของผมอีกลำหนึ่งโดดลงไปทำหน้าที่แทนให้ เพราะเป็นการออกไปปฏิบัติหน้าที่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ทำให้รอดตัวไป เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมต้องทบทวนชีวิตการรับราชการทหารเรือของผมอย่างหนัก ในชีวิตของคนๆหนึ่งจะมีโชคดีสักกี่ครั้ง ที่มีการพลาดพลั้งแล้วมีผู้ช่วย เวลาการทำงานของราชการไม่มีความแน่นอน หวนคิดถึงตอนกลับจากปฏิบัติหน้าที่ราชการชายแดนหนึ่งเดือนเต็มๆ พวกเราจะได้สิทธิ์พักผ่อนตามหลักปฏิบัติ จำนวน 5 วัน ความหวังที่จะได้กลับมาพักกับลูกเมียอย่างเต็มอิ่ม บางคราวมาอยู่ที่บ้านได้เป็นวันที่สองต้องรีบนั่งรถกลับไปปฏิบัติหน้าที่ใหม่ เพราะมีโทรเลขเรียกตัวให้กลับกรมกองด่วน ด้วยมีเหตุการณ์บางอย่าง สถานการณ์มากมายที่เกิดขึ้นมา เป็นตัวแปรให้ชีวิตเปลี่ยนไปมาตลอด บางครั้งเสาร์-อาทิตย์เป็นเวลาที่ข้าราชการหลายท่านจัดเตรียมข้าวของ และตั้งใจพาครอบครัวไปพักผ่อนบ้างเป็นครั้งคราว อาจมีคำสั่งด่วนบางเรื่องที่เรียกตัวข้าราชการที่เกี่ยวข้องกลับไปทำหน้าที่ได้  เมื่อพวกเราเป็นเพียงข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ต้องคอยลุ้น เฝ้ารอดูคำสั่งที่บางครั้งมาแบบไม่ทันตั้งตัว แผนการณ์ที่วางไว้ให้ลูกเมียมีโอกาสคลาดเคลื่อนไปได้ นี่คือวิถีชีวิตของพวกเราในช่วงนั้น.... 


                                           ชีวิตการทำงานปัจจุบัน
                                              www.aiapdt.com
                                           ติดตามตอนต่อไป เชิญคลิ๊ก







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น